นายเชษฐา เจริญศิริ
นายกเทศมนตรีตำบลหัวช้าง
สถิติผู้เยี่ยมชม
เปิดเว็บไซต์ 20/07/2017
ปรับปรุง 03/10/2025
สถิติผู้เข้าชม 405765
Page Views 814492
 
แหล่งท่องเที่ยว
ดอนปู่ตาบ้านอ้น ญาพ่อปู่ เทวสถาน ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านอ้น
ประวัติบ้านอ้น
บ้านอ้นก่อตั้งครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ.2440  ผู้ก่อตั้งบ้านเรือนในระยะแรกนั้นคือราษฎรจาก 3  หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณบ้านอ้นในปัจจุบัน  ประกอบไปด้วย  บ้านหนองครก  บ้านดอนหมากมาย  บ้านเก่าเหล่าล้อที่อพยพหนีโรคห่า  หรือโรคไข้ทรพิษ  หรือฝีดาษ  อีกทั้งประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ในการดำรงชีวิต  เริ่มจากบ้านเก่าเหล่าล้อและบ้านดอนหมากมายบางส่วนได้อพยพไปบ้านหนองครก  สาเหตุเพราะเกิดโรคระบาดอีกทั้งยังขาดแคลนแหล่งน้ำสะอาดมาใช้ในการดำรงชีวิต  ซึ่งบ้านหนองครกนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี  ต่อมาปัญหาโรคระบาดก็ยังคุกคามและไม่สามารถควบคุมได้  ประชาชนทั้ง  3  หมู่บ้าน  จึงได้หาสถานที่ที่ตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ที่เหมาะสมมีแหล่งน้ำมีสถานที่ที่เหมาะแก่การตั้งหมู่บ้านได้  สถานที่ตั้งบ้านอ้นในปัจจุบันนี้เป็นป่าดอนขี้อ้น  มีต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์เป็นกลุ่ม ๆ  เป็นที่ร่มรื่นและเป็นที่อาศัยของสัตว์นานนาชนิดซึ่งมีอาณาเขตพื้นที่ประมาณ  300 ไร่เศษ  และเป็นที่ราบสูงและมีดอนป่าขี้อ้นอยู่ตรงกลาง  ดอนขี้อ้นที่ว่านี้ปัจจุบันตรงต้นฉำฉาใหญ่ทางเข้าวัดสระแคนเจริญศรีนี่เอง  อีกทั้งบริเวณดอนขี้อ้นยังมีแหล่งน้ำที่สำคัญคือ  หนองแปน  หนองแคน  และหนองเค  เมื่อได้สถานที่ที่เหมาะสมแก่การตั้งหมู่บ้านใหม่แล้ว  การรวมตัวของหมู่บ้านเล็ก ๆ 3  หมู่บ้านจึงเกิดขึ้น  หมู่บ้านทั้ง  3  หมู่บ้านประกอบไปด้วย
1.บ้านหนองครก  เดิมทีอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  ที่ได้ชื่อบ้านหนองครก  เพราะตรงเนินหมู่บ้านนั้นมีครกตำข้าว  (ครกมอง)  สำหรับตำข้าวไว้บริโภคและมีครกจำนวนมากจนเป็นที่สังเกตและเรียกชื่อหมู่บ้านว่าบ้านหนองครก  บ้านหนองครกห่างจากบ้านอ้นปัจจุบัน  1.200  เมตร  มีบ้านเรือนราษฎรทั้งหมด  37  หลังคาเรือน  โดยมีพ่อใหญ่หัสนัย  เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  ซึ่งเป็นผู้ที่ทุกคนในหมู่บ้านให้ความเคารพเป็นที่นับถือและเป็นต้นตระกูล  นามนัย  มาจนบัดนี้  เป็นหมูบ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์หมู่บ้านหนึ่ง  ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาและทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากไม่ว่าจะเป็น  ถ้วย โถ โอ ชาม ต่าง ๆ โดยนำไปจำหน่ายในพื้นที่ทั้งไกลและใกล้เคียงโดยการใช้เกวียนเป็นพาหนะไปจำหน่าย  กล่าวกันว่าดินเหนียวที่บริเวณบ้านหนองครกนั้นเป็นดินเหนียวที่เหมาะแก่การปั้นเครื่องปั้นดินเผาไม่แพ้บ้านจานทุ่ง  อ.ทุ่งเขาหลวง  บ้านหม้อ มหาสารคาม    สมัยนั้นการสัญจรไปมายากลำบากมาก  เพราะฉะนั้นการไปมาแต่ละเที่ยวนั้นต้องบรรทุกทีละมาก ๆ หลาย ๆ เล่มเกวียน  เที่ยวละหลาย  ๆ วัน กว่าจะได้กลับ  เพราะบางครั้งต้องไปขายไกลถึงบ้านด่านเกวียน  เมืองโคราช  แต่ก็เป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านหนองครกเป็นอย่างดี  และมีหนองน้ำขนาดใหญ่  คือหนองครก  และฝายโพนเที่ยม(โพนเที่ยมที่จริงออกเสียง  โพนเซี่ยม  “เซี่ยม” หมายถึงที่อยู่ของปลามีลักษณะเป็นโพรงใต้น้ำ)เป็นแหล่งน้ำสำคัญในการใช้อุปโภค บริโภคแก่ชาวบ้านหนองครกตลอดปี
2.บ้านดอนหมากมาย  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ห่างจากบ้านอ้น  ปัจจุบัน  1.000  เมตร  มีบ้านเรือนทั้งหมด  15  หลังคาเรือน  บ้านเรือนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทิศใต้ฝายหนองแสง  โดยมีนายแสงลาวเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  เป็นคนหนุ่มไฟแรงอายุขณะนั้นประมาณ  40  ต้น ๆ เป็นคนมาจากแขวงคำม่วนประเทศลาว  โดยพ่อแม่พาอพยพมาอยู่อาณาจักรศรีโคตรบูรหรือเมืองนครพนมในปัจจุบัน  คนส่วนมากเรียก แสงลาว  เป็นลูกเขยพ่อใหญ่โพธิ์  ผู้นำหมู่บ้านบ้านเก่าเหล่าล้อ  นายแสงลาวเป็นผู้มีบทบาทเด่นสามารถทำงานประสานงานแทนพ่อใหญ่โพธิ์ในด้านต่าง ๆ  ได้ดีมากจนได้รับการยกย่องจากพระศรีวรราช (สอน) อุปราช  ( “อุปราช” ตำแหน่งการปกครองใน “อัญญา 4” )ซึ่งเป็นนายของพ่อใหญ่โพธิ์  พระศรีวรราช  (สอน) อุปราช  เป็นน้องชายของหลวงพรหมพิทักษ์หรือพระธาดาอำนวยเดช  (บุตรของพระรัตนวงศา  (คำสิงห์) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ)  2 ท่านนี้เป็นผู้สร้างเมืองจตุรพักตรพิมาน (ประวัติความเป็นมาของอำเภอจตุรพักตรพิมาน มีปรากฏอยู่ใน ประชุมพงศาวดารภาคที่ 4 ) ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ส่วนมากประกอบอาชีพด้วยการทำไร่เป็นส่วนใหญ่  เสริมด้วยการเกี่ยวหญ้าคา  มาไพขาย  มีหนองน้ำบริโภคคือห้วยหนองแสง  และหนองซำแฮด  ( “ซำแฮด”หมายถึงที่อยู่ของแรด )  หมู่บ้านนี้ได้แยกมาจากบ้านเก่าเหล่าล้อ  พ่อใหญ่แสงก็คือ  ต้นสกุล  แสงภารา  มาจนปัจจุบันนี้
3.บ้านเก่าเหล่าล้อ  ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้  ห่างจากบ้านอ้นปัจจุบัน  1.000  เมตร  มีบ้านเรือนทั้งหมด  30  หลังคาเรือน  โดยมีพ่อใหญ่โพธิ์  เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  พ่อใหญ่โพธิ์เป็นผู้มีความอาวุโสสูงสุดใน  3 หมู่บ้าน  เป็นคนที่มีความสนิทสนมกับพระศรีวรราช  (สอน) อุปราช  (บุตรเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ)  เป็นอย่างดี  หมู่บ้านนี้มีการประกอบอาชีพด้วยการทำนาและก็รับซื้อเกลือไปเล่ขายตามที่ต่าง  ๆ  (การผลิตเกลือที่สำคัญคือบริเวณกุดพิมานบ้านดงยาง)  บ้านเก่าเหล่าล้อมีหนองน้ำใช้บริโภคคือหนองไฮ  ปัจจุบันคือหนองมะหรี่  และหนองสระพัง  รวมแล้วทั้ง  3  หมู่บ้าน  หลังจากว่างเว้นจากการทำนาแล้วหน้าแล้งก็พากันออกเกวียนเทียมวัว  ควาย  ไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาปลามาทำปลาร้าปลาแห้งไว้กิน  เช่น  ลำพลับพลา  ท่าตูม  เขมรต่ำ  จำปาสัก  (ลำพลับพลาปัจจุบันอยู่ อ.ชุมพลบุรี  ท่าตูมปัจจุบันอยู่ อ.ท่าตูม  จำปาสักปัจจุบันอยู่สปป.ลาว  เส้นทางเกวียนของบ้านเก่าเหล่าล้อนั้นเคยเป็นเส้นทางสายสำคัญของบริเวณนี้สายหนึ่ง  กล่าวคือ  เป็นเส้นทางเกวียนที่ใช้เดินทางไปโคราช  บุรีรัมย์  สุรินทร์  ยโส  อุบลฯ  จำปาสัก)  หน้าแล้งทั้ง  3  หมู่บ้าน  ก็มีการไปมาหาสู่กันมิได้ขาดและมีความสุขตามอัตภาพ  พ่อใหญ่โพธิ์คนนี้คือต้นตระกูล  โพธิสาร  นั่นเอง  ทั้งสามท่านก็ปกครองชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุขเรื่อยมา
ก่อเกิดบ้านอ้นในปัจจุบัน
ต่อมาเกิดโรคร้าย  คือโรคห่าระบาดไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ  บวกกับเป็นหน้าแล้งและอากาศร้อนระอุและทำให้โรคลุกลามไปเรื่อย  ๆ  รวมทั้ง  3  หมู่บ้านนี้ด้วย  ทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหายจากการล้มตายของสัตว์เลี้ยงทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นวัว  ควาย  หมู  เป็ด  ไก่  พ่อใหญ่โพธิ์ได้ประชุมชาวบ้านทั้ง  3  หมู่บ้าน  เพื่ออพยพสัตว์เลี้ยงทุกชนิดไปไว้ในที่ปลอดภัย  คือ หัวไร่ปลายนา  แต่ก็ไม่สามารถที่จะบรรเทาได้เพราะไม่มีวัคซีนฉีดรักษา  ซ้ำร้ายโรคระบาดก็ระบาดมาสู่คน  คือ  อหิวาตกโรค  ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก  และปีนั้นก็เกิดโรคแทรกซ้อนอีกคือโรคบักห่าง  หรือโรคฝีดาษ  ใครเป็นแล้วโอกาสรอดยาก  ถ้ารอดก็มีแผลเป็นเต็มตัว  บางคนพาลูกไปรักษาแต่ต้องมาตายกลางทางก็มี  พ่อใหญ่โพธิ์ได้เรียกประชุมหมู่บ้านอีก  คือให้พ่อใหญ่หัสนัย  พ่อใหญ่แสง  ปรึกษาหารือกันหาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่  โดยเอาชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดและได้ตกลงกันเลือก  ดอนขี้อ้น  ซึ่งเป็นที่ราบสูง  อากาศดีมีหนองน้ำอยู่ใกล้ถึง  3  แห่งคือ  หนองแคน  หนองแปน  และหนองเค  ถึงแม้ว่าจะเป็นหนองน้ำที่ไม่ใหญ่มากนัก  ผู้นำทั้ง  3  ท่านก็เลือกเอาดอนขี้อ้นแล้วประกาศให้ลูกหลานอพยพเข้ามารวมกันทั้งหมด  แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า  บ้านอ้น  ตั้งแต่นั้นมา  แล้วจากนั้นชาวบ้านบ้านอ้นได้ช่วยกันตั้งวัดขึ้นชื่อวัดตลาดราชมงคล  อยู่ทิศตะวันตกหนองแปน  โดยมีหลวงปู่สังฆราชเป็นเจ้าอาวาส  อยู่ต่อมาไม่นานได้เกิดไฟไหม้วัดตลาดราชมงคลจนหมด  จึงได้ย้ายมาตั้งวัดใหม่อีกครั้ง  คือวัดสระแคนเจริญศรี  อยู่ทิศตะวันออกหนองแปน  โดยมีพระครูหัน  เป็นเจ้าอาวาส  และได้ก่อสร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลังในปี  2460  โดยมีเสาไม้แคน  (ตะเคียนทอง)  ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้  คือเส้นผ่าศูนย์กลาง  1.9 เมตร  จำนวนหลายสิบต้น  พอดีทุกต้น  ปี พ.ศ. 2466  ทางอำเภอได้มาจัดตั้งโรงเรียนที่วัดสระแคนเจริญศรี  โดยใช้ศาลาวัดเป็นโรงเรียน  ผู้ใหญ่บ้านคนแรกบ้านอ้นคือพ่อใหญ่โพธิ์  โพธิสาร
คนที่  2  คือ  พ่อใหญ่สิม  โพธิสาร
คนที่  3  คือ  พ่อใหญ่ขุนศรี  สมุทรศรี  และได้เป็นกำนันในเวลาต่อมาด้วยความเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารงานและซื่อสัตว์สุจริต  จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น  หมื่นศิริไชยจำนง  เพราะมีผลงานดีเด่นมาตลอดพร้อมกับเป็นการสร้างเกียรติประวัติให้กับบ้านอ้นของเรา
คนที่  4  คือ  พ่อใหญ่หัน  นามนัย
คนที่  5  คือ  พ่อใหญ่สุด  สมุทรศรี  ในช่วงของพ่อใหญ่สุดเป็นผู้ใหญ่บ้าน  เดิมทีบ้านอ้นเป็นหมู่ที่  7  ตำบลหัวช้าง  (แต่ก่อนบ้านหนองผือก็เป็นส่วนหนึ่งของตำบลหัวช้าง)  ปี  พ.ศ. 2484  ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ  ผู้ใหญ่สุด  สมุทรศรี  ผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นได้ประสานงานกับนายอำเภอ ชั้น  สุวรรณทรรภ  (ช่วงปี พ.ศ.2509- 2512  ร.ต.ต. ชั้น  สุวรรณทรรภ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด) ออกมาเชิญชวนชาวบ้านให้เสียสละที่ดินส่วนตัวคนละนิดคนละน้อย  โดยตัดถนนเป็นล็อค  ล็อคละ  1  ไร่  คนไม่มีที่อยู่ก็ซื้อคนที่มีที่มาก ๆ  ไร่ละ  40  บาท  ลูกหลานบ้านอ้นได้เห็นการวางผังเมืองที่สวยงามทุกวันนี้ก็เพราะพ่อใหญ่สุด  สมุทรศรี  บุตรของหมื่นศิริไชยจำนง  (อดีตกำนันตำบลหัวช้าง)  และในระหว่างการพัฒนาก็เกิดสงครามโลกครั้งที่  2  ขึ้นพอดี  ผู้นำหมู่บ้าน  ประกาศให้ชาวบ้านขุดหลุมกำบังเพื่อป้องกันอันตรายและจัดตั้งเวรยามกลางคืนโดยเฉพาะ  (บริเวณที่ตั้งหลุมหลบภัยในปัจจุบันอยู่บริเวณบ้านตาไท)  บ้านใครมุงสังกะสีก็ต้องหาใบมะพร้าวหรือใบตองมาคลุมกันแสงสะท้อน  ถ้าเครื่องบินบินผ่านเห็นแสงสะท้อนสังกะสีก็จะทิ้งระเบิดลงมา  จึงต้องปิดสังกะสีเอาไว้เพื่อป้องกันอันตราย  ทุกหลังคาเรือนต้องเข้านอนก่อน  17.00 น. หลังจากนั้นสงครามสงบ  หมู่บ้านอ้นเราก็ได้ขอแยกหมู่บ้าน  ซึ่งหมู่บ้านอ้นได้แบ่ง  3  หมู่บ้าน  คือ  หมู่ที่  4  หมู่ที่  5  หมู่ที่  6  ตำบลหัวช้าง  อำเภอจตุรพักตรพิมาน  จังหวัดร้อยเอ็ด  ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านแต่และหมู่บ้านดังนี้
หมู่ที่  4 
        ๑.นายทุย  พรมชาดา  ๒.นายมาศ  โพธิสาร  ๓.นายอิ่ง  บุตรชน  ๔.นายด่อง  นามนัย  ๕.นายพุทธ  จันทร์เมืองหงส์  ๖.นายเสาร์  แสงภารา  ๗.นายดำ  จันทะสิงห์  ๘.นายทองพันธ์  แสงภารา
        หมู่ที่  5 
          ๑.นายสุด  สมุทรศรี  ๒.นายสอน  โพธิสาร  ๓.นายไหม  สมุทรศรี  ๔.นายประดับ  ปาระจูม(กำนันแหนบทองพระราชทาน)  ๕.นายวันชัย  จันทะสิงห์
        หมู่ที่  6
          ๑.นายชน  แสงภารา  ๒.นายแสง  แสงภารา  ๓.นายจันทร์  บุญเหลี่ยม  ๔.นายลุน  จันทะสิงห์  ๕.นายสิงห์  สรสิทธิ์  ๖.นายคำมี  กัลยาลัง  ๗.นายไสว  แสงภารา  ๘.นายสุทธี  บุตรชน
       
การอพยพของประชากรบ้านอ้นคุ้มป่าตอง ไปอำเภอเพ็ญจังหวัดอุดรธานีประมาณปีพ.ศ.2485
และอีกหนึ่งการอพยพในบ้านอ้นครั้งสำคัญนั่นก็คือ  ประชากรชาวบ้านอ้นคุ้มป่าตอง(ป่าตองหมายถึงการที่บริเวณนี้มีต้นซาดจำนวนมากไม่สูงมากนักสามารถนำมาทำเป็นฝาบ้านรวมถึงหลังคาบ้านและเถียงนาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าใบตองตึง)  ที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านอ้นใกล้ ๆ ฝายหนองแสงหรือบริเวณทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหนองแสงประมาณปี พ.ศ. 2485  ได้อพยพหนีความแห้งแล้งและโรคระบาดไปทางจังหวัดอุดรธานี  อำเภอเพ็ญ  จำนวนประมาณ  35  ครอบครัวไปอยู่บริเวณ  บ้านหนองแสนตอและบ้านโคกสว่าง  อำเภอเพ็ญ  จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน  และการอพยพครั้งนี้เป็นการร่วมกันของประชากรหลากหลายหมู่บ้านในการอพยพหนีความแห้งแล้งและโรคระบาดในการอพยพครั้งนั้น  มีประชากรบางส่วนในหมู่บ้านต่าง ๆ  ร่วมอพยพไปด้วยคือ  บ้านอ้นคุ้มป่าตอง  บ้านหนองขัน  บ้านดงแดง  บ้านหนองกุง  และบ้านเหล่าหมาน้อย  ได้ร่วมกันอพยพไปบ้านบ๋าตะกา อ.โพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ดังจะเห็นได้จากงานวิชาการเรื่อง “ชื่อบ้านนามเมืองอำเภอเพ็ญ”  จังหวัดอุดรธานี  บ้านหนองแสนตอ หมู่ที่ ๗   ตำบลสุมเส้า ได้กล่าวถึงการอพยพของประชากรมาจากจังหวัดร้อยเอ็ดตอนหนึ่งว่า “ ความเป็นมาของบ้านหนองแสนตอ ตามประวัติความเป็นมาพวกพ่อค้าเดินทางมาจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดหนองคาย และจังหวัดอุดรธานี เป็นพ่อค้าเกวียนขายสีย้อมผ้าหรือขายสิ่งของต่างๆ เดินทางมาทำมาหากินมาพบหนองน้ำที่ มีความอุดมสมบูรณ์จึงพากันตั้งถิ่นฐานทำมาหากินเป็นกลุ่มแรก จึงก่อให้เกิดเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ตาม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านหนองแสนตอจนถึงปัจจุบันนี้ ”

Database Error