นายเชษฐา เจริญศิริ นายกเทศมนตรีตำบลหัวช้าง
|
เปิดเว็บไซต์ |
20/07/2017 |
ปรับปรุง |
03/10/2025 |
สถิติผู้เข้าชม |
405765 |
Page Views |
814494 |
|
|
"ทางลึก" บ้านหนองตอ ตำบลหัวช้าง อ.จตุรฯ จ.ร้อยเอ็ด
"ทางลึก" เป็นภาษาถิ่น ใช้เป็นชื่อเรียกทางเกวียน ที่ใช้คมนาคมมายาวนาน จนสถาพถนนกลายเป็นหลุมลึก ทางลึกไม่ได้เป็นการขุด ทางแบบนี้มักเกิดบนดอนบนโคกเนิน เพราะล้อเกวียนและกีบเท้าวัวควายที่สัญจรผ่านประจำทำให้ดินชั้นผิวบนนั้นแตกร่วน เมื่อแดดแรงในช่วงแห้งแล้งหลายเดือนดินจะเป็นทรายแป้งเป็นฝุ่นละเอียด ครั้นถึงหน้าฝน ฝนตกก็จะชะล้างดินนี้ลงต่ำไปเรื่อยๆจนที่สุดก็กลายเป็นร่องมีตลิ่งชันแบบนี้ เส้นทางใช้สัญจรไปมาระหว่างบ้านหนองตอตะเคียนใหญ่ไปบ้านบาก ซึ่งปัจจุบัน บ้านหนองตอตะเคียนใหญ่เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านหนองตอ ส่วนบ้านบาก กลายเป็นหมู่บ้านร้าง กลายสภาพเป็นป่า
ประวัติบ้านหนองตอ
บ้านหนองตอ เป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่หมู่บ้านหนึ่งในตำบลหัวช้าง อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ติดกับทางหลวงแผ่นดินสาย ร้อยเอ็ด-สุรินทร์ กิโลเมตรที่ 24-30 ห่างจากตัวอำเภอ 3 กิโลเมตร
เมื่อประมาณ 100 ปีเศษ (ราว พ.ศ. 2400 มีครอบครัวราว 7-8 ครอบครัว อพยพจากบ้านน้ำคำใหญ่ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มาตั้งหลักฐานขึ้นที่บ้านหนองตอในปัจจุบันเป็นครั้งแรก ลักษณะพื้นที่เป็นที่ดอน ทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นป่าละเมาะ ไม้สำคัญคือ ไม้ยูง (พยูง) ไม้ยาง ไม้ประดู่ ไม้ตะเคียน เป็นจำนวนมาก สัตว์ป่ามีมากมายหลากหลายชนิด เช่น หมี เสือ แรด(ที่อยู่ของแรดเรียกว่า “ซำแฮด”) กวาง อีเก้ง และนกชนิดต่าง ๆ มากมาย ทางทิศตะวันออกและทิศใต้เป็นทุ่งนามีหนองน้ำหลายหนองและห้วย(ลำธาร) ไหนผ่านหลายสาย
สาเหตุที่บรรพบุรุษท่านมาตั้งรกรากที่นี่เพราะเห็นว่ามีหนองน้ำกว้างใหญ่หลายหนอง เช่น หนองเดิ่น หนองตอ หนองแสบง(ตั้งชื่อภาพหลัง) หนองตอเป็นหนองน้ำกว้างใหญ่และลึกที่สุด เหมาะแก่การเพราะปลูกและเลี้ยงสัตว์ บรรพบุรุษจึงได้พร้อมกันปลูกบ้านแปลงเรือน อาศัยอยู่ใกล้ ๆ หนองนี้ พร้อมกับสร้างวัดขึ้นที่ฝั่งหนองด้านทิศตะวันออก ที่ริมหนองมีตอไม้จำนวนมาก และต่างชนิดกัน ตอที่ใหญ่ที่สุดคือตอตะเคียน บรรพบุรุษอาศัยตอไม้ตะเคียนนี้เป็นนิมิต จึงให้นามบ้านว่า “บ้านหนองตอตะเคียนใหญ่” ต่อมาตัดคำว่า “ตะเคียน” ออกเหลือเพียง “บ้านหนองตอใหญ่” ปัจจุบันนี้ใช้สั้น ๆ ว่า “บ้านหนองตอ” เท่านั้น เวลานี้หนองตอตื้นเขินมาก ไม่มีน้ำขังตลอดปีสาเหตุเพราะมีทางเกวียนผ่านริมหนอง 3 สาย เมื่อเวลาฝนตกน้ำไหลตามทางเกวียน ได้พัดเอาทรายและใบไม้ทับถมบริเวณหนองตอทำให้ตื้นเขิน
ต่อมาหนองตอได้ชื่อใหม่ว่า “หนองสิม” เหตุที่ได้ชื่อเช่นนี้ เพราะชาวบ้านและวัดได้สร้างสิมน้ำ (อุทกุเขปเสมาสิม มาจากคำศัพท์บาลีว่า สิมน้ำ) ขึ้นที่กลางหนองนี้ ต่อมาได้สร้างสิมบก (อุโบสถ) ขึ้นแล้ว และสิมน้ำก็สิ้นสภาพไป แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกว่า “หนองสิม” มาจนถึงบัดนี้
หมู่บ้านใกล้เคียงที่สร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันคือบ้านเชียงใหม่ บ้านบาก บ้านโพธิ์ บ้านลาด บ้านซาด กาลต่อมา หมู่บ้านเหล่านี้เกิดเป็นโรคระบาดคือโรคห่า(อหิวาตกโรค) ผู้คนตายมากมาย ที่เหลืออพยพไปรวมอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง ทิ้งบ้านเก่าให้เป็นบ้านร้างจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ที่วัดและซากโบสถ์ยังเป็นโบราณสถานที่ประชาชนสักการะบูชาอยู่จนทุกวันนี้
(สิม หรือ โบสถ์ ในภาษาอีสานคำว่า "สิม" มาจากคำว่า สีมา หรือ เสมา แปลว่า เขต หลักเขตการทำสังฆกรรม โบสถ์มีใบเสมาเป็นสิ่งแสดงที่หมายนิมิตล้อมรอบตัวอาคาร 8 จุด เพื่อกำหนดเขตวิสุงคามสีมา สิมอีสานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ สิมน้ำ กับ สิมบก สิมที่สมบูรณ์จะต้องมีพัทธสีมา หากไม่มีเขตวิสุงคามสีมาถาวรต้องไปบวชในสิมน้ำ เพราะถือว่า "น้ำ" เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เนื่องจากความทุรกันดารของเส้นทางสู่ชนบทในภาคอีสาน ชาวอีสานจึงสร้าง "สิมน้ำ" ขึ้นชั่วคราว เพื่อใช้อุปสมบทกรรมให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ โดยต้องสร้างให้อยู่ในน้ำที่เกิดขึ้นเอง (ชาตสระ) และอยู่ห่างจากตลิ่งกว่าชั่ววิดน้ำสาด กาลล่วงมาจึงนิยมสร้าง "สิมบก" ขึ้นเป็นการถาวรตามรูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสาน และขอวิสุงคามสีมา พร้อมกับการฝังลูกนิมิตเป็นเขตหมายให้ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ)
หมู่บ้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งพร้อมกับบ้านหนองตอตะเคียนใหญ่ ตามประวัติการก่อตั้งหมู่บ้านของบ้านหนองตุ (คุ้มใต้ จตุรฯ) ซึ่งได้จารึกไว้ที่แผ่นหินอ่อน บนศาลาจตุรมุข ทางด้านทิศตะวันตก ตอนหนึ่งว่า “อพยพโยกย้าย นำสายน้ำล่องเลาะเสียว ลำน้ำอันคดเคี้ยว ย้ายกันตั้งบ้านอยู่ คำบอกเล่าจากผู้ฮู้ ล้วนมาแท้แค่สุวรรณ บ้านอีโคตร บ้านดงเมืองจอก บ้านซาด บ้านเชียงใหม่ หมู่นั้นล้วนสายเลือดเดียวกัน บ้านโพธิ์ บ้านลาด บ้านยางซอง บ้านเปลือย บ้านแข่ ล้วนแค่มาจากศรีภูมิกันทั้งนั้น มีอยู่หลายชุมซั้น ย้ายแตกกันไปอยู่ ทางบ้านโพธิ์ชัย ต่อไปทางลิ้นฟ้า พ่อขุนอุดม พ่อจำรูญ กะมาแต่พุ้น หนีมาสร้างบ้านใหม่”
การเกิดโรคระบาดในหมู่บ้านต่าง ๆ สมัยนั้น จนทำให้เกิดการทิ้งหมู่บ้านไปอาศัยหมู่บ้านอื่นและไปก่อตั้งหมู่บ้านใหม่นั่น ได้ปรากฎหลักฐานจากประวัติหมู่บ้านบ้านอีง่อง ความตอนหนึ่งว่า “จากการบันทึกและบอกเล่าของนายบุญทัน พันธุ์พาณิชย์ อดีตกำนันตำบลอีง่อง (คนที่ 4) เล่าว่าเดิมทีมีราษฎรส่วนหนึ่งได้อพยพมาจากแคว้นสุวรรณภูมิมาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินและล่าสัตว์ที่ป่าดงอุงมุงหรือกู่ดงมุง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านข่าใหญ่และต่อมาญาติพี่น้องของผู้นำที่มาจากแคว้นสุวรรณภูมิ คือ ท้าวพรมมหาราชได้มีการอพยพมาเป็นจำนวนมากและได้ตั้งเป็นชุมชนขึ้น เรียกว่า “บ้านป่าบาก” ขึ้นที่ป่าดงศรีเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ติดกับป่าดงอุงมุงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 200 เมตร ต่อมาเกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน ราษฎรเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก ท้าวพรมมหาราช พร้อมด้วยประชาชนจึงได้อพยพแยกย้ายไปตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่จำนวนหลายหมู่บ้าน ซึ่งส่วนมากผู้อพยพได้ติดตามผู้นำคือ ท้าวพรมมหาราช มาทางทิศใต้ของหมู่บ้านเดิมเรื่อยลงมาทางใต้ จนได้ก่อตั้งหมู่บ้านเรียกว่า บ้านอีง่อง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2412 – 2430 ท้าวพรมมหาราชซึ่งเป็นผู้นำคนแรกของหมู่บ้าน (เป็นผู้นำที่ชาวบ้านยกให้เป็นผู้นำแต่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน) ได้พัฒนาหมู่บ้านให้มีความเจริญขึ้นทุก ๆ ด้าน จนมีจำนวนครัวเรือนและประชากรเพิ่มขึ้น และสิ้นสุดยุคของท้าวพรมมหาราช ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้เลือกให้ขุนพัน พันธุ์พาณิชย์ เป็นผู้นำคนต่อมาและได้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของบ้านอีง่อง และปี พ.ศ. 2431 บ้านอีง่องและหมู่บ้านใกล้เคียงมีจำนวนประชากรและครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น อำเภอจตุรพักตรพิมาน จึงได้ยกฐานะบ้านอีง่องเป็นตำบลอีง่อง ซึ่งมี ขุนพัน พันธุ์พาณิชย์ เป็นกำนันคนแรก ซึ่งหมู่บ้านที่อยู่ในเขตปกครองของตำบลอีง่อง ขณะนั้น (พ.ศ. 2431) มีจำนวน 14 หมู่บ้าน”
ซึ่งการเกิดโรคระบาดในหมู่บ้านต่าง ๆ บริเวณนี้นั้นน่าจะอยู่ในช่วงก่อน ปี พ.ศ. 2412 |
Database Error | | |